อยากหุ่นสวย ทำไม❓ ควรเล่นเวทคู่คาร์ดิโอ🏃‍♀️🚶‍♀️🏃‍♀️🚶‍♀️

อยากหุ่นสวย ทำไม
ควรเล่นเวทคู่คาร์ดิโอ🏃‍♀️🚶‍♀️🏃‍♀️🚶‍♀️

จากงานวิจัยหลายชิ้นแสดงว่า การออกกำลังกาย
ทั้งเวทเทรนนิ่งและการคาร์ดิโอเพื่อมาทำคู่กัน

💚 ประโยชน์ 💚
💥 เพิ่มสมรรถภาพการทำงานให้กับหัวใจ ให้ทำงานดีขึ้น
💥 ช่วยทำให้ปอดทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
💥 ช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญในร่างกายให้ดีขึ้น

👉 เทคนิค คือ แบ่งเวลาที่การออกกำลังกาย เท่าๆ กัน
แบบเวท 45 นาที และ คาร์ดิโอ 45 นาที

📣 อย่าลืมติดดาว ตั้ง See First หรือเห็นโพสต์ก่อนใคร
เพื่อรับข้อมูลข่าวสารดีๆ กับโปรโมชั่นต่างๆ

#สุขภาพดีส่งต่อได้ #swizersuperfood #Swizer

กิน – อยู่อย่างไร ให้ห่างไกลโรค❗ ใน วัย 60+ 70+ 👴👵

กิน – อยู่อย่างไร ให้ห่างไกลโรค
ใน วัย 60+ 70+ 👴👵

💥 เข้านอน และตื่นนอน ให้ตรงเวลา
💥 จัดห้องให้สะอาด สงบบ อากาศถ่ายเท อุณภูมิเหมาะสม
💥 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือทำงานอดิเรก
💥 เลือกทานอาหาร ที่มีคุณประโยชน์สูง
💥 ทานยาให้สม่ำเสมอ หากมีโรคประจำตัว

Natural Chia Seeds 100% 😋🌱 เมล็ดเจีย “ ธัญพืชมากประโยชน์ ขุมทรัพย์แห่งสุขภาพ ”
Natural Chia Seeds 100% 😋🌱 เมล็ดเจีย
“ ธัญพืชมากประโยชน์ ขุมทรัพย์แห่งสุขภาพ ”💚 ไฟเบอร์สูง ช่วยปรับความสมดุลระบบขับถ่าย ให้เป็นปกติ
💚 โอเมก้าสูง ช่วยบำรุงสมอง และเซลล์ประสาท
💚 โปรตีนสูง ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
💚 อุดมด้วยแคลเซียม ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
💚 อุดมด้วยสาร Antioxidants ช่วยบำรุงผิวพรรณ
💚 อุดมด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดปัญหาสิว

📣 สนใจหาซื้อ Natural Chia Seeds 100%
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อได้ที่
📲 Line@ : https://line.me/R/ti/p/%40swizer_superfood
📞 โทร : 0843304444
📣 อย่าลืมติดดาว ตั้ง See First หรือเห็นโพสต์ก่อนใคร
เพื่อรับข้อมูลข่าวสารดีๆ กับโปรโมชั่นต่างๆ

#swizersuperfood #Swizer #chiaseed
#chia #Superfood #Acai #Natural #Organic

5 อาหารสุขภาพที่ควรมีไว้ติดรถ
บทความโดย แพทย์หญิง วารีรัตน์ โขมศิริ
ผู้บริหาร นีโอเลเซอร์ คลินิก และผู้บริหาร บริษัท อินโนเวทีฟ เฮลท์ จำกัด

จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า คนกรุงเทพฯ ใช้เวลาในการเดินทางนานขึ้น 35 นาที/การเดินทาง นั่นหมายความว่า นอกจากเราจะสูญเสียโอกาสในการทำกิจกรรมต่างๆ หลายด้าน ยังรวมไปถึงการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพจิต เช่น ความหงุดหงิด ความวิตกกังวล และความเครียด รวมถึงสุขภาพกาย ก็ยังได้รับความอ่อนเพลียและพักผ่อนไม่เพียงพอเช่นกัน


สำหรับคนที่มีแผนต้องเดินทางไกล หรือทำงานเช้ากลับดึกตลอดสัปดาห์ มักจะจะเจอกับสภาวะง่วง อ่อนเพลีย หรือขับไปเจอรถติดๆ แล้วเกิดหิวขึ้นมา การเตรียมอาหารติดรถ นอกจากจะเพื่อช่วยคลายหิวแล้ว ยังช่วยปลุกให้เราสดชื่นตื่นจากความง่วงเหงาหาวนอนอีกด้วย

วันนี้หมอขอแนะนำ “5 อาหารสุขภาพที่ควรมีติดรถ” ที่เราสามารถหาได้ง่ายในชีวิตประจำวัน อยากให้ลองหาพกติดรถไว้ช่วยเราในยามคับขันนะคะ

1.น้ำเปล่า
การจิบน้ำเปล่าช่วยให้ระดับออกซิเจนในเลือดเพิ่มขึ้น ร่างกายเราจะรู้สึกตื่นตัวได้ทันที และทางที่ดี ควรดื่มน้ำอุณหภูมิห้องนะคะ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ในระบบไหลเวียนเลือดได้ทันที ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าได้


2.กาแฟ
คาเฟอีนเป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนออกเดินทางก็ชงกาแฟใส่ขวดเก็บความร้อนแล้วพกติดรถไปด้วย ปัจจุบันมีกาแฟที่ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพเรียกว่านอกจากช่วยให้ร่างกายตื่นตัวแล้วยังได้สุขภาพอีกด้วย ขอเสริมว่า ในระหว่างจิบกาแฟ สามารถสลับกับน้ำเปล่า ให้คาเฟอีนซึมเข้าไปในเลือด อีกทั้งการที่เราดื่มน้ำไปขนาดนี้ ก็อาจทำให้เรารู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยจนต้องแวะเข้าห้องน้ำเรื่อยๆ ถือเป็นการพักคน พักรถไปในตัวด้วยอีกทาง

3.บาร์สุขภาพ หรือเมล็ดธัญพืช
ปัจจุบันมีอาหารสุขภาพสำเร็จรูปพร้อมทานที่ไม่เพียงมีรสชาติอร่อยถูกใจ แต่ยังอัดแน่นไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง ซ่อมแซมร่างกายและเสริมพลังงาน บ้างมีวัตถุดิบที่ช่วยเสริมสร้างสารต้านอนุมูลอิสระและไขมันที่ดีในร่างกายด้วย และเป็นการดูแลสุขภาพไปในตัวอีกด้วย เป็นทางเลือกที่ดีต่อผู้บริโภค


4.เมล็ดธัญพืช
อย่างเมล็ดเจียที่มีคุณประโยชน์มากมาย มีความสมบูรณ์ในด้านคุณค่าอาหาร และสามารถร่วมรับประทานกับอาหารทั่วไป รวมถึงเครื่องดื่มทุกประเภทได้ ปัจจุบันเมล็ดเจียยังเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่นักกีฬา นักโภชนาการ กลุ่มชีวจิต มังสวิรัติ อีกทั้งยังเป็นที่นิยม ชื่นชอบของผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ความดัน เบาหวาน และผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณ สุขภาพภายในอีกด้วย หรือจะเลือกเป็นธัญพืชตัวอื่นมาเสริมก็ทำได้อีกเช่นกัน เลือกตามใจชอบแต่เน้นประโยชน์เป็นหลัก

5.ผลไม้
เราสามารถเลือกผลไม้ที่เราชอบติดรถไว้ จะเตรียมไว้ตั้งแต่เย็น หรือหาซื้อในร้านสะดวกซื้อซึ่งผลไม้มีวิตามินมากมาย มีกากใยไฟเบอร์ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย


“5 อาหารสุขภาพที่ควรมีติดรถ” ที่หมอเลือกมานี้ นอกจากจะช่วยคลายหิว ช่วยให้การเดินทางระหว่างวันเพลิดเพลินขึ้น ยังช่วยให้เราได้ดูแลสุขภาพระหว่างทางของเราไปในตัว รู้จำนวนปริมาณอาหาร ไม่เผลอไปทานขนมขบเขี้ยวตามใจปาก การเตรียมอาหารจากบ้านยังทำให้เราหมดห่วงเรื่องความสะอาดของอาหารที่เรารับประทานได้อีกทางด้วยนะคะ

เห็นประโยชน์จากลิสต์นี้แล้ว วันนี้เริ่มเตรียมของกันได้เลยค่ะ
(เครดิตภาพ : Swizer)

วิธีบริโภค “กาเฟอีน” ให้ฟินและดีต่อสุขภาพ
บทความโดย แพทย์หญิง วารีรัตน์ โขมศิริ
ผู้บริหาร นีโอเลเซอร์ คลินิก และผู้บริหาร บริษัท อินโนเวทีฟ เฮลท์ จำกัด

โดยปกติ คนทั่วไปเลือกบริโภคกาเฟอีนในรูปแบบต่างๆ เพื่อการกระตุ้นระบบประสาทให้เกิดการตื่นตัว และลดความอ่อนเพลีย แต่ในส่วนของผู้ที่ออกกำลังกายนั้นก็จะมองหาประโยชน์ของกาเฟอีนในเรื่องของการเพิ่มการเผาผลาญหลังออกกำลังกายหรือเพื่อเพิ่มสมรรถภาพในระหว่างการออกกำลังกาย

โดยผลการศึกษาทั่วไปพบว่า การบริโภคกาเฟอีนก่อนออกกำลังกายสามารถเพิ่มความสามารถและยืดระยะเวลาในการออกกำลังกายให้มากขึ้น โดยเราควรบริโภคกาเฟอีนก่อนออกกำลังกายประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากกาเฟอีนใช้ระยะเวลาการดูดซึมเข้ากระแสเลือดประมาณ 15-45 นาที และให้ผลสูงสุดในช่วง 30-75 นาทีต่อจากนั้น

นอกจากเรื่องของระยะเวลาในการบริโภคแล้ว สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็คือ ปริมาณการบริโภค เพราะอย่างที่ทราบกันดีอยู่ว่าการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพ อันอาจส่งผลต่อต่อร่างกายโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นระบบประสาท ความดัน หัวใจ และยังเสี่ยงต่อภาวะขาดสมดุลของน้ำในร่างกาย

ดังนั้น วันนี้ คุณหมอจึงขอแนะนำเรื่องของปริมาณกาเฟอีนที่เราควรใช้ ทั้งในชีวิตประจำวันและการบริโภคก่อนการออกกำลังกาย เพื่อลดผลข้างเคียงอันเกิดจากการบริโภคกาเฟอีนเกินปริมาณความจำเป็น


ณ ปัจจุบันจากการศึกษาต่างๆ ทำให้สถาบันความปลอดภัยทางอาหารของยุโรป (EFSA) มีข้อแนะนำสำหรับการบริโภคกาเฟอีนเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายนั้น ไม่ควรเกิน 3-4 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ดังนั้น ผู้ที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมก็ไม่ควรบริโภคกาเฟอีนเกิน 150-200 มิลลิกรัม/วัน

แต่จริงๆ กาเฟอีนนั้นสามารถพบได้ในรูปแบบของเครื่องดื่มและอาหารที่หลากหลาย ทั้งกาแฟ ชา และโกโก้หรือช็อกโกแลต ด้วยเหตุนี้จึงยากต่อการคำนวณปริมาณกาเฟอีนที่ได้รับในแต่ละครั้ง เพราะมีปัจจัยทั้งเรื่องความเข้มข้นและปริมาณการเสิร์ฟ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและเป็นแนวทางสำหรับคนที่ต้องการบริโภคกาเฟอีนก่อนออกกำลังกาย ทุกท่านจึงควรพิจารณาปริมาณกาเฟอีนที่ปลอดภัยจากธรรมชาติที่สรุปมาให้ตามด้านล่าง เพื่อหลักเลี่ยงการบริโภคกาเฟอีนเกินจำเป็น

กาแฟ คือเครื่องดื่มที่เราจดจำกันได้เป็นอย่างดีว่านี่คือตัวแทนของแหล่งกาเฟอีนชั้นยอด โดยกาแฟเอสเปรสโซที่มีขนาดแก้วเล็กเพียง 30 ml ก็สามารถให้กาเฟอีนสูงถึง 50-60 มิลลิกรัม/แก้ว นอกจากนั้น กาแฟกรองที่มีการชงผ่านเครื่องกรอง หรือกาแฟดริป ก็ให้กาเฟอีนในปริมาณสูงถึง 85 มิลลิกรัม ในขนาด 125 ml/แก้ว และยังมีกาแฟชงชนิดอเมริกาโน่ที่เป็นที่ชื่นชอบของนักดื่มกาแฟแบบดื่มแทนน้ำที่ให้ค่ากาเฟอีนในปริมาณเฉลี่ย 65 มิลลิกรัม ต่อขนาดการบริโภค 125ml

ใบชาก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสุขภาพ เพราะกาเฟอีนถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของใบชา โดยผู้ที่ต้องการบริโภคคาเฟอีนก่อนออกกำลังกายสามารถบริโภคได้เป็นอย่างดี และนอกจากใบชาจะมีกาเฟอีนแล้วยังมี “แคทีชิน” (Catechin) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เนื่องจากการบริโภคใบชานั้นมีส่วนผสมของน้ำเป็นหลัก จึงทำให้การบริโภคชาชง 1 แก้ว 150 ml นั้นได้กาเฟอีนเพียง 32 มิลลิกรัม/แก้ว ในขณะเดียวกัน เราจะได้กาเฟอีนน้อยลงไปอีก หากเราเลือกบริโภคชาเย็นเพราะชาเย็น 1 ขวด 330ml นั้นมีกาเฟอีนเพียง 20 มิลลิกรัม เท่านั้น


ช็อกโกแลตก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่ถึงแม้อาจจะไม่เหมาะกับการบริโภคในรูปแบบของเครื่องดื่ม เพราะช็อกโกแลตร้อน 1 แก้ว ปริมาณ 150ml นั้นให้กาเฟอีนเพียง 4 mg แต่ในขณะเดียวกัน หากเราเปลี่ยนไปเลือกบริโภค ดาร์กช็อกโกแลต ขนาด 30 กรัม/แท่ง จะได้ค่าคาเฟอีนสูงถึง 60 มิลลิกรัม

จากปริมาณกาเฟอีนในทางเลือกต่างๆ เราพอจะสรุปได้ว่า ผู้ที่มีน้ำหนัก 60 กิโลกรัมควรบริโภคกาเฟอีนปริมาณ 150-200 มิลลิกรัม ก่อนออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง เพื่อเสริมประสิทธิภาพของการออกกำลังกายนั้น ควรบริโภคกาแฟเฉลี่ยไม่เกิน 2-3 แก้วก่อนออกกำลังกาย แต่หากเป็นการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของใบชานั้นก็อาจจะบริโภคถึง 6-7 เสิร์ฟ เพื่อจะให้ได้ปริมาณกาเฟอีนที่ต้องการ จึงเป็นการยากที่จะปฏิบัติ เพราะอาจเกิดการจุกเสียดขึ้นได้

แต่นอกจากทางเลือกที่เป็นเครื่องดื่มเราก็ยังสามารถเลือกบริโภคดาร์กช็อกโกแลตในรูปแบบแท่ง 2-3 แท่งได้เช่นกัน จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าเรามีทางเลือกในบริโภคกาเฟอีนจากแหล่งธรรมชาติได้อย่างหลากหลาย โดยเรามาสามารถนำมาคำนวณและเลือกบริโภคแบบผสมผสานได้

ใครเกลียดผักฟังทางนี้!! 5 สุดยอดอาหารไฟเบอร์สูง
บทความโดย แพทย์หญิง วารีรัตน์ โขมศิริ
ผู้บริหาร นีโอเลเซอร์ คลินิก และผู้บริหาร บริษัท อินโนเวทีฟ เฮลท์ จำกัด


คนส่วนใหญ่ทราบว่าการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงสามารถช่วยควบคุมการ ย่อยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี, ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด และช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะทำให้คุณรู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น ไม่กินจุกจิก นอกจากนั้นยังทำให้คุณขับถ่ายสบาย

ปริมาณแนะนำให้บริโภคเส้นใยต่อวันอยู่ประมาณ 38 กรัมสำหรับผู้ชาย และ 25 กรัมสำหรับผู้หญิง ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะบริโภคไฟเบอร์เฉลี่ยของคนทั่วไปซึ่งอยู่เพียง 14 กรัม/วันเท่านั้น อีกทั้งยังมีคนบางกลุ่มที่ประสบปัญหาการรับประทานไฟเบอร์อย่างมาก เพราะคิดว่าการบริโภคไฟเบอร์นั้นคือการรับประทานผักหรือผลไม้จำนวนมากเท่านั้น

วันนี้เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในการเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ของคนทั่วไปและผู้ที่เข้าใจผิดว่า ไฟเบอร์คือการรับประทานผัก คุณหมอจะมาแนะนำอาหารที่เป็นทางเลือกในการรับไฟเบอร์ เป็นอาหารในหมวดที่ทานในปริมาณน้อย แต่ให้คุณค่าทางไฟเบอร์สูง


1.เมล็ดเจีย (Chia Seed)
อาหารมาแรงจากเทือกเขาแอนดีสที่คนชอบควบคุมน้ำหนักรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเมล็ดเจียให้ไฟเบอร์สูงทั้งไฟเบอร์แบบอุ้มน้ำ และไฟเบอร์ไม่อุ้มน้ำ โดยเมล็ดเจียนั้นให้ไฟเบอร์สูงกว่า 30% ของน้ำหนักตัว ดังนั้น เมล็ดเจีย 1 ช้อนชาจึงให้ไฟเบอร์สูงถึง 5000 mg หรือ 5g.

2. อัลมอนด์ (Almond)
ถั่วยอดนิยมที่ไม่ได้มีแต่ไขมันดี แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการด้านไฟเบอร์สูง เพียงคุณบริโภคอัลมอนด์แค่ ¼ ถ้วย หรือเพียงแค่ 30g นอกจากจิตใจของคุณจะแจ่มใส แล้วคุณยังได้ไฟเบอร์เป็นของแถมถึง 4.25g

3. ถั่วดำ
เป็นอาหารที่หารับประทานได้โดยง่าย แต่จะมีใครเคยรู้บ้างว่าประโยชน์จากโภชนาการของถั่วดำนั้น นอกจากเป็นแหล่งโปรตีนที่ราคาไม่แพงแล้ว ถั่วดำ ½ ถ้วยตวงหรือประมาณ 60g ยังช่วยเติมเส้นใยให้กับร่างกายของเราได้ถึง 7 กรัม

4. Rasberry or Blackberry
สุดยอดเบอรรี่ที่ไม่เพียงแต่ให้สารต้านอนุมูลอิสระสูง เพียงเท่านั้น แต่ในตัวมันยังให้ไฟเบอร์สูงเช่นกัน โดยการบริโภคเบอรรี่เพียง 1 ถ้วยตวง ร่างกายเราก็จะได้รับไฟเบอร์สูงถึง 8 กรัม

5. อะโวคาโด
เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ถูกบันทึกให้เป็นสุดยอดอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูง เพียง คุณรับประทานอะโวคาโดลูกกลางๆ ก็ได้ไฟเบอร์สูงถึง 11 กรัม และยังได้ทั้งแร่ธาตุและวิตามินที่สูงตามไปอีกด้วย แต่สำหรับสาวที่ควบคุมแคลลอรี่ก็อาจควรระวังเพราะอะโวคาโด 100 g นั้นให้พลังงานที่สูงถึง 160 แคลลอรี่เลยทีเดียว

(ขอบคุณภาพจาก Swizer)

เปิดข้อดีของ “ควินัว” สุดยอดของกินโดนใจนายกฯ มาเลเซีย

โดยทั้งข้าวและควินัวถูกมองว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง อีกทั้งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถเพาะปลูกได้อย่างแพร่หลาย จนทำให้องค์การสหประชาชาติเห็นว่า การส่งเสริมการบริโภคข้าวและควินัวจะช่วยลดปัญหาด้านโภชนาการและความอดยากของผู้คนบนโลกของเรา

แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็มีเรื่องฮือฮา จนทำให้กิดการเปรียบเทียบประโยชน์ของข้าวและควินัวอย่างแพร่หลาย เพราะผู้นำมาเลเซียให้สัมภาษณ์ว่า ตนเลิกทานข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักแบบเดิมของชาวมาเลเซีย แล้วหันไปบริโภคธัญพืชอย่าง “ควินัว” แทน เพราะรู้สึกว่า “ควินัวดีกว่าข้าว” เนื่องจากมีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลน้อยกว่า

ดังนั้น วันนี้ หมอจะพาไปทำความเข้าใจกันค่ะว่า เพราะอะไร? นายกรัฐมนตรีมาเลเซียถึงได้เปลี่ยนใจไปทานควินัวเเทนข้าว

โดยทั่วไป ทั้งควินัวและข้าวไม่ขัดสี ถูกเรียกว่าเป็น “โฮลเกรน” และให้คุณประโยชน์ที่ดีต่อสขุภาพในด้านคุณค่าอาหาร อย่างไรก็ตาม ทั้งควินัวและข้าวก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันในด้านขององค์ประกอบวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งให้โภชนาการที่แตกต่าง ต่อร่างกาย มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่ละประเภท

คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจดูว่าควินัวเป็นสิ่งใหม่ไกลตัว แต่จริงๆ ควินัวมีวิธีหุงและปรงุสุกไม่แตกต่างจากข้าว เพราะใช้อัตราส่วนของน้ำและวิธีหุงเช่นเดียวกับข้าว นอกจากวิธีการปรุงสุกที่ไม่แตกต่างกัน พลังงานที่ได้รับจากการ บริโภค ทั้งควินัวและข้าวก็แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ ควินัวและข้าวหุกสุก ½ ถ้วย ให้พลังงาน 111 กิโลแคลอรี่ และ 109 กิโลแคลอรี่ ตามลำดับ แต่มีจุดแตกต่างก็คือ ควินัวให้คาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าข้าว 20 กรัม แต่ข้าวให้คารโบไฮเดรตถึง 22 กรัม จึงทำให้ดูคล้ายว่า ควินัวจะได้เปรียบในเรื่องของค่าน้ำตาลที่ร่างกายจะนำไปใช้จากการเปลี่ยนแปลงปริมาณคาร์โบไฮเดรต


นอกจากความสำคัญในเรื่องพลังงานและคาร์โบไฮเดรตแล้ว จากการศึกษาข้อมูลโภชนาการทางด้านสารอาหารหลัก พบว่า ควินัวอาจจะเป็นอาหารทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการบริโภคมากกว่าข้าวไม่ขัดสี เพราะควินัวให้ไฟเบอร์และโปรตีนที่มากกว่า โดยการบริโภคควินัว 1 ถ้วย ให้โปรตีน 8 กรัม และไฟเบอร์ 5 กรัม ในขณะที่ข้าวไม่ขัดสีให้คุณค่าโปรตีนเพียง 5 กรัม และให้ไฟเบอร์แค่ 4 กรัม

ยิ่งกว่านั้น ในด้านคุณค่าของสารอาหาร รองจากพวกแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ
แร่ธาตุจากควินัวดูจะมีคุณค่ามากกว่าข้าวพอสมควร ยกตัวอย่างเช่น ข้าวสาลีปริมาณ 100 กรัม จะพบแคลเซี่ยมเพียง 50.3 มิลลิกรัม แต่ในควินัวจะมีสูงถึง 148.7 มิลลิกรัม นอกจากนั้นยังแมกนเซียมและเหล็ก ที่ช่วยเสริมสร้างทั้งกระดูกและเม็ดเลือดแดงที่มากกว่า โดยครึ่งถ้วยของควินัวหงุสุก ให้แมกนีเซียมสูงถึง 59 มิลลิกรัม ในขณะที่ข้าวไม่ขัดสีให้เพียง 42 มิลลิกรัม

นอกจากนั้น ควินัวก็มีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวไม่ขัดสีถึง 3 เท่า อย่างไรก็ตาม ในส่วนของวิตามินนั้น แม้ควินัวและข้าวไม่ขัดสีจะมีวิตามินบีเช่นเดียวกัน แต่ที่แตกต่างกันก็คือชนิดของวิตามินบที่ได้รับ โดยควินัวนั้นให้โฟเลทสูงและช่วยในเรื่องดีเอ็นเอและสมอง รวมทั้งสารสื่อประสาท ส่วนข้าวไม่ขัดสีจะให้คุณค่าทางด้านวิตามินบี 3ไนอะซินมากกว่า ซึ่งมีประโยชนเรื่องช่วยการไหลเวียนของเลือด และความชุ่มชื้นของผิว

จากการเปรียบเทียบเฉพาะคุณค่าทางสารอาหาร ก็อาจกล่าวได้ว่าควินัวเหมาะสมกับการบริโภค ไม่แพ้ข้าวไม่ขัดสี และควินัวก็เหมาะสมทั้งกับเด็ก สตรี และคนชรา เนื่องจากเพราะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนา สมอง เซลล์ กระดูก และลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ทั้งแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และโฟเลท

(ขอบคุณภาพจาก Swizer)