รู้หรือไม่? Collagen type 2 แก้ปวดเข่าได้

จริงหรือมั่ว? Collagen Type 2 ช่วยลดอาการปวดข้อต่อ

        หากพูดถึง คอลลาเจน เชื่อเลยว่า ทุกคนต้องนึกถึงแต่เรื่อง ผิวขาว ผิวสวย เป็นอันดับแรกๆก่อน แต่นอกจากเรื่องผิวแล้วร่างกายของมนุษย์เรายังประกอบไปด้วยคอลลาเจนมากมายอีกหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น Collagen type 2 ที่พบมากบริเวณกระดูกอ่อน และข้อต่อ 

เรามาทำความรู้จักคอลลาเจนกันก่อน… 

คอลลาเจน มีทั้งหมดกี่ชนิด?

คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีคอลลาเจนอยู่ 16 ชนิดแต่ 80-90 เปอร์เซ็นต์ของคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์เรานั้นเป็นคอลลาเจนชนิดที่ 1, 2 และ 3

 

ซึ่งคอลลาเจนในร่างกายคนเราที่น่าสนใจมีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน คือ

  1. คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I) พบมากถึง 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกายบริเวณ ผิวหนัง เส้นเอ็น เนื้อเยื่อกระดูก และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีความเหนียวและแข็งแรงมากที่สุด (เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เป็นเนื้อเยื่อที่สามารถพบได้ทั่วร่างกาย มีหน้าที่ยึดอวัยวะต่าง ๆ ให้เข้าที่มีความเสถียร)
  2. คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Type II) เป็นคอลลาเจนที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ พบมากในกระดูกอ่อน เช่น หู จมูก หลอดลม กระดูกซี่โครง และกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ
  3. คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Type III) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญโครงสร้างอวัยวะภายในที่มีลักษณะกลวงคล้ายท่อ เช่น หลอดเลือด มดลูก ลำไส้ และมักพบร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1
  4. คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Type IV) พบที่เยื่อหุ้มเซลล์ชั้นนอก
  5. คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Type V) พบที่บริเวณรอยต่อระหว่างหนังกำพร้า (Epidermis) กับหนังแท้ (Dermis) และรก

เมื่อเรารู้กันแล้วว่าคอลลาเจนที่น่าสนใจมีกันอยู่กี่ชนิด วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ คอลลาเจนประเภทที่ 2 กัน เป็นคอลลาเจนที่พบในกระดูกอ่อนของคน ซึ่งเชื่อมโยงถึงอาการปวดเข่ากับโรคข้ออักเสบ

Collagen Type 2 คืออะไร?

คอลลาเจน ไทพ์ทู หรือ Collagen Type 2 คือ โปรตีนรูปแบบหนึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของข้อต่อ, กระดูกอ่อน และกระดูก เป็นโปรตีนที่พบมากบริเวณข้อต่อ 

ส่วนในกระดูกอ่อนนั้นเราสามารถพบคอลลาเจนไทพ์ทู ได้มากถึง 90% จากคอลลาเจนทั้งหมด ซึ่งกระดูกอ่อนนี้มีความจำเป็นต่อข้อต่อเป็นอย่างมาก ช่วยรองรับน้ำหนัก ในขณะที่เราขยับเคลื่อนไหวร่างกาย 

เป็นคอลลาเจนที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติแต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นร่างกายจะสร้างได้น้อยลง โดยหน้าที่หลัก ๆ ของคอลลาเจนไทพ์ทู นั้นก็คือ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของส่วนประกอบบริเวณข้อต่อ และคอยควบคุมน้ำในข้อให้อยู่ในภาวะสมดุล

ทีนี้เมื่อร่างกายเราขาด Collagen type 2 กระดูกอ่อนจะเริ่มซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง กระดูกอ่อนจะค่อย ๆ สึกหรอไปทีละนิด จนในที่สุดกระดูกบริเวณข้อต่อเกิดการเสียดสีโดยตรง ส่งผลให้ข้อต่อเกิดการสึกหรอ อักเสบบวมแดง ในระยะเริ่มต้นจะมีอาการปวดข้อเล็กน้อย เข่าดังก๊อกแก๊ก

 

ประโยชน์ของ Collagen Type 2

  1. แก้ปวดเข่า
  2. รักษาข้อเข้าเสื่อม
  3. เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายให้ดีมากขึ้น

เมื่อเราทราบถึงคุณประโยชน์ของคอลลาเจนแล้ว เริ่มสนใจกันขึ้นมาแล้วใช่มั้ย ไม่มีใครอยากปวดข้อ ปวดเข่าหรอก มันทรมาน เลยอยากมาแนะนำนี่เลย Miga Collagen Type 2 จาก Swizer 

Cacao คาเคา คืออะไร?

Cacao คาเคา คืออะไร?

“คาเคา” คืออะไร ใช่ “โกโก้” หรือเปล่า ทำไมถึงชื่อคล้ายกัน?

เรามาทำความรู้จักกับ “คาเคา” กันก่อนดีกว่า สุดยอดซุปเปอร์ฟู้ดที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่ามีคุณประโยชน์พลังความเฮลตี้อย่างมาก  ที่หลายคนอาจจะมองข้าม…

Cacao หรือ คาเคา 

คาเคา ผลิตมาจากต้นไม้ที่ชื่อว่า Theobroma cacao ซึ่งถูกขนานนามว่า เป็นอาหารของพระเจ้า (Food of the Gods)
คาเคาเดิมทีมีการเพาะปลูกในแถบอเมริกาใต้และอเมริกากลาง ก่อนที่ชาวสเปนจะนำไปปลูกแถบยุโรป และได้มีการคิดค้น พัฒนา แปรรูป ให้มีความหลากหลายทางด้านอาหารมากขึ้น มีทั้งการผสมน้ำตาลหรือนม จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนรู้จักกันดี นั่นก็คือ ” ช็อกโกแลต ” เอาง่ายๆ คาเคา ก็คือ จุดเริ่มต้นของช็อกโกแลต ที่บริสุทธิ์โดยไม่มีอะไรมาผสมนั่นเอง..

 

คาเคา และ โกโก้ ต่างกันอย่างไร?

หลายคนจะเข้าใจผิดว่า คาเคาก็คือโกโก้ ด้วยที่ว่าชื่อก็เหมือนๆกัน ทำให้เข้าใจผิดมาตลอด ซึ่งทั้งสองอย่างคุณประโยชน์แตกต่างกันมาก เรามาดูกันดีว่าว่า คาเคา กับ โกโก้ ต่างกันยังไง?

 

Cacao powder ผงคาเคา

  •  เป็นการแปรรูปเมล็ดคาเคา มาเป็นรูปแบบผง
  • ใช้กรรมวิธีการบดเย็น( Cold-Pressed )  วิธีนี้จะช่วยรีดไขมันออก แต่ยังคงสารอาหาร แอนตี้ออกซิเดนซ์ วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ อยู่อย่างครบถ้วน
  • ผงคาเคามีสารต้านอนุมูลอิสระ (ORAC) สูงถึง 95,000 
  • เป็นซุปเปอร์ฟู้ดที่ให้คุณค่าทางอาหารสูง

Cocoa powder ผงโกโก้

  •  เป็นการแปรรูปเมล็ดคาเคา มาเป็นรูปแบบผง
  • ต้องนำไปคั่วให้หอม เท่ากับว่าใช้กรรมวิธีการใช้ความร้อนสูง ทำให้สารอาหารบางส่วนถูกทำลายไปด้วยความร้อน
  • ส่วนใหญ่จะมีการเติม น้ำตาล ครีมเทียม หรือ ไขมันพืช เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้นซึ่งอาจจะทำให้เกิดไขมันสะสม หรือ ได้รับพลังงานสูงขึ้น
  • ผงโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระ (ORAC) ประมาณ 26,000 เนื่องจากผ่านการใช้ความร้อนสูงให้การแปรรูป

เมื่อเรารู้ความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่างแล้ว ทำให้รู้ว่าคาเคา นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพและให้คุณค่าทางอาหารสูงมาก และด้วยคุณค่าสารอาหารมากมาย เรามาดูประโยชน์ดีๆจากคาเคา ที่เราลิสต์มาให้ทราบกันมีอะไรบ้าง…

1. ช่วยควบคุมระดับไขมันในร่างกาย

ในปี 2548 มีการศึกษาเกี่ยวกับผลเมล็ดคาเคา ต่อผู้ป่วยโรคอ้วนจากภาวะไขมันสูง พบว่า การบริโภคเมล็ดคาเคาควบคู่กับอาหารที่มีไขมันสูง ช่วยป้องการปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากมีผลวิเคราะห์บอกไว้ว่า เมล็ดคาเคาสามารถต่อต้านโรคอ้วนได้ลึกถึงระดับพันธุกรรมเลย เพราะเมล็ดคาเคานั้นจะเข้าไปหยุดกระบวนการสังเคราะห์ไขมัน ทำให้ไม่เกิดภาวะไขมันสะสม จึงช่วยให้สุขภาพดี และน้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

2. ลดภาวะเครียดออกซิเดชั่น

ก่อนอื่น ภาวะเครียดออกซิเดชั่น (Oxidative Stress) คืออะไร?  อธิบายอย่างเข้าใจง่ายก็คือ ภาวะที่เรามีอนุมูลอิสระมากกว่าสารต้านอนุมูลอิสระ ส่งผลให้อนุมูลอิสระเข้าไปทำลายระบบต่างๆ ในเซลล์ของเรานั่นเอง ถ้าหากร่างกายของเราเกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่นต่อเนื่องไปนานๆ จะทำให้ดูแก่ก่อนวัย หรือไม่เพียงแค่แก่ก่อนวัย อาจจะทำให้นำไปสู่ โรคมะเร็ง และ โรคหัวใจขาดเลือดได้

เมล็ดคาเคานั้นจะอุดมไปด้วย Polyphenols สารที่มีคุณสมบัติในการต้ามอนุมูลอิสระ แถมระบบย่อยอาหารจะดีขึ้น ป้องการการเกิดโรคเบาหวาน และป้องกันการเสื่อมของระบบประสาท โรคหัวใจและหลอดเลือด ได้

3.ป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

 อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน โรคอ้วนนั้นมักจะนำไปสู่โรคเบาหวานประเภท2 ที่เกิดจากภาวะการดื้ออินซูลิน ซึ่งมีปริมาณไขมันมีมากกว่าปริมาณกล้ามเนื้อ  กล้ามเนื้อของเราเปรียบเสมือนเตาเผาพลังงาน ยิ่งเรามีกล้ามเนื้อเยอะ เราจะยิ่งเผาไขมันได้เยอะ หากเรามีกล้ามเนื้อน้อยก็จะเผาไขมันได้น้อย ทำให้เกิดไขมันสะสม  ซึ่งหากปริมาณเซลล์ไขมันมีมากกว่าปริมาณเซลล์กล้ามเนื้อ  

ซึ่งปริมาณเซลล์ไขมันที่มีมากกว่าปริมาณเซลล์กล้ามเนื้อถือว่าเป็นปัจจัยนึงที่ทำให้ความไวต่ออินซูลินลดลง โดยมีการศึกษากัน พบว่าสารสกัดจากคาเคานั้นสามารถลดน้ำตาลในเลือด ลดโอกาสโรคเบาหวานในกลุ่มผู้ป่วยโรคอ้วนที่เกิดจากไขมันสะสม เนื่องจากมีสารประกอบฟีนอลิก (Phenolic)สูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในเมล็ดคาเคา จึงสามารถช่วยในการลด LDL ลดไตรกลีเซอไรด์ ลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดความดันโลหิตได้ 

พอทราบถึงพลังความเฮลธ์ตี้ของคาเคากันแล้วใช่มั้ยล่ะ…สายสุขภาพอย่างเราก็ต้องสนใจกันแน่นอนอยู่แล้ว เลยอยากจะแนะนำ Cacao สุขภาพ คาเคาแท้ 100% ของ Swizer ลองแล้วติดใจมาก เขาจะมีด้วยกัน 2 แบบ ตามนี้เลย หาซื้อได้ง่ายมาก ตามไปสั่งซื้อกันได้เลย…

Natural Cacao Powder

เป็นการแปรรูปจากเมล็ดคาเคาให้อยู่ในรูปแบบผง โดยใช้การสกัดเย็น (Cold-Pressing) ที่ใช้ความร้อนต่ำ ทำให้สารอาหารยังอยู่อย่างครบถ้วน

Natural Cacao Nibs

เป็นการบดหรือทำให้เมล็ดคาเคาหักออกเป็นชิ้นเล็กๆ ซึ่งเท่ากับว่าสารอาหารต่างๆยังอยู่ครบถ้วน

Intermittent Fasting ( IF )

Intermittent Fasting (IF)  คือการอดอาหารเป็นระยะ ๆ หรือเป็นช่วง แบ่งเวลาการกินออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงอด (Fasting) ช่วงกิน (Feeding)

โดยวิธีที่ใช้กันมากว่า 10 ปีแล้ว ช่วงเวลาที่นิยมมากที่สุดคือ 16/8  ( อดอาหารทุกวันเป็นเวลา 16 ชั่วโมง และ จำกัดการกินทุกวันเป็นเวลา  8  ชั่วโมง) หลังจากหมดเวลา 8 ชม. แล้วเราก็จะหยุด กินได้เเค่นอกจากน้ำเปล่าเท่านั้น ซึ่งช่วงอดร่างกายจะดึงไขมันที่สะสมออกมาใช้   โดยอาหารช่วงที่ทานที่ดีที่สุดสำหรับคนลดน้ำหนัก IF คือ การกินแบบ LCHF (Low Carb High Fat) คือลดน้ำตาล แป้งขัดขาว และ High Fat คือทานไขมันดีจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันเจีย, น้ำมันมะกอก, ถั่ว, งา และอะโวคาโด โดยการกินแบบนี้จะทำให้อินซูลินไม่สูง  ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดสารอาหารนะคะ

การทำ IF  มีประโยชน์มากมาย นอกจากจะช่วยเรื่องลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยลดไขมันในเลือดได้โดยตรง ช่วยลดการอักเสบของร่างกาย ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน ความอ้วน และโรคมะเร็ง รวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้สุขภาพดีขึ้น

IF เป็นสิ่งที่มีความยืดหยุ่นมากๆ  โดยเราเป็นคนกำหนดทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งอาหารที่ทาน ระยะเวลาเริ่มต้นเเละสิ้นสุดในเเต่ละวัน เเละที่สำคัญสามารถทำ IF ได้ทุกที่เลยค่ะ

ถึงประโยชน์ของการทำ IF นี้จะให้ผลดีเเละประโยชน์มากมาย เเต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคนนะคะ โดยคนที่ไม่ควรทำได้เเก่

  • ผู้ที่ขาดสารอาหาร
  • เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
  • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
น้ำมันเมล็ดเจีย กับการบำรุงผิวหน้า ผิวกาย

น้ำมันเมล็ดเจีย คือ น้ำมันที่สกัดรวมสารอาหารต่างๆที่สำคัญของเมล็ดเชียไว้อย่างเข้มข้นและบริสุทธิ์ โดยผ่านการสกัดเย็นจึงทำให้ไม่เสียคุณค่าของสารอาหารไปเหมือนการสกัดโดยใช้ความร้อน

ซึ่งในต่างประเทศน้ำมันเมล็ดเชียนิยมนำไปใช้ในการบำรุงด้านความงาม เช่น เซรั่มน้ำมันบำรุงผิวและครีมบำรุงผิว มาร์คหน้า สบู่บำรุงผิว เซรั่มบำรุงเส้นผม เป็นต้น ทีนี้เรามาดูกันว่า Swizer Chia Oil Softgel นั้นเมื่อนำมาบำรุงผิวหน้าเเละผิวกายเเล้วได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง

  • ป้องกันผิวเเห้ง เเตก ด้าน ริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวไม่กระชับ
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน เเละอีลาสตินที่เป็นสารสำคัญที่ทำให้ผิวยืดหยุ่น
  • ช่วยลดปัญหาสิว สิวอักเสบ รอยแผลเป็นจากสิว ลดรอยเเผลเป็น
  • ป้องกันเเดด ช่วยลดผิวดำคล้ำเสีย
  • ใช้ได้ทั้งผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ระคายเคืองง่าย

วิธีใช้น้ำมันเมล็ดเจีย

ล้างหน้าให้สะอาด จากนั้นบีบหรือเจาะเเคปซูลเมล็ดเจียเเล้วหยดใส่ผิวหน้า ผิวกาย 3-5 หยด (จะผสมกับครีมที่เราใช้อยู่ประจำก็ได้) เเล้วนวดให้ซึมเข้าสู่ผิวเพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนเลือดได้ดียิ่งขึ้นค่ะ

ประโยชน์ของ น้ำมันเจีย

Swizer Chia Oil Softgel  ด้วยเทคโนโลยีสกัดเย็น ในการสกัดน้ำมันบริสุทธิ์จากเมล็ดเจีย (กรรมวิธีที่ไม่ผ่านความร้อน ทำให้น้ำมันที่ได้มาไม่เสียคุณค่าทางวิตามินและสารอาหาร) ลดการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดซันและทำให้น้ำมันเจียรสชาติดีที่อัตราส่วนของโอเมก้- 3 (60%) โอเมก้า-6 (20%)   และสไวเซอร์ น้ำมันเจีย เนเชอรัล มีโอเมก้า -3 ALA (Alpha-Lipoic Acid) สูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอมูลอิสระตัวอื่นๆอีกด้วย

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการทาน   Swizer Chia Oil Softgel

  • ช่วยเพิ่มอัตราการเผาพลาญพลังงานในร่างกาย
  • ลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
  • ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมในระดับเซลล์
  • ลดการอุดตันในเส้นเลือด
  • ช่วยบรรเทาอาการปลายประสาทอักเสบ
  • ช่วยลดการอักเสบ และอาการปวดข้อ
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยโรคเบาหวาน

เพียงเเค่ทานในตอนเช้า ก่อนอาหาร 1-2 เเคปซูลเป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ ข้อต่อต่างๆเเละช่วยให้เส้นผมเเละผิวหนังมีสุขภาพดียิ่งขึ้น

ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าว (coconut oil) เป็นไขมันที่มาจากเนื้อของลูกมะพร้าว  สกัดจากธรรมชาติโดยที่ไม่ผ่านการฟอกสีหรือการกลั่นต่างๆ  นำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบลงในเมนูอาหาร  ด้านสุขภาพและความงามมากมาย

ที่นี้เรามาดูประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวกันค่ะ ว่ามีอะไรกันบ้าง

บำรุงหัวใจ  ลดอาการโรคเบาหวาน    ช่วยบำรุงระบบการทำงานของหัวใจ เนื่องด้วยน้ำมันมะพร้าวประกอบไปด้วยไขมันไตรกลีเซอไรด์สายยาวที่ช่วยเพิ่มระดับไขมันดีให้กับร่างกาย มีส่วนช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด   ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย  ช่วยป้องกันอาการไขมันในเลือดสูง และยังมีไขมันไตรกลีเซอไรด์สายยาวปานกลางที่มาก ทำให้ลดความเสี่ยงของการโรคเบาหวานกำเริบหรือโรคแทรกซ้อนได้เป็นอย่างดี

ช่วยลดน้ำหนัก บำรุงครรภ์และบำรุงกระดูก

น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติที่เเรียกกันว่า ไขมันไตรกลีเซอไรด์สายยาวหรือไขมันดี ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนน้ำมันชนิดนี้เป็นพลังงานแทนที่จะส่งไปสะสมตามส่วนต่างๆ แน่นอนว่าจะช่วยทำให้น้ำหนักตัวไม่เพิ่มหรือลดลงได้  สำหรับคนท้อง เมื่อทานน้ำมันมะพร้าวก็จะช่วยบำรุงและเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับลูกน้อยในครรภ์  ช่วยเพิ่มคุณค่าทางน้ำนมให้กับคุณแม่มากขึ้นอีกด้วย และน้ำมันมะพร้าวมีแคลเซียมสูง จึงสามารถป้องกันการสูญเสียแคลเซียมในคุณแม่ท้องได้อย่างดีค่ะ ในน้ำมันมะพร้าวมีแคลเซียมสูงมาก ซึ่งจะช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และป้องกันปัญหากระดูกเปราะบาง โดยเฉพาะในวัยสูงอายุที่มักจะมีปัญหาเรื่องกระดูกพรุน

รักษาโรคอัลไซเมอร์ และป้องกันมะเร็ง

งานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นพบว่า น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติในการรักษาและป้องกันโรคอัลซัลเมอร์ได้ เนื่องจากสามารถกระตุ้นให้เกิดสารคีสโตนภายในร่างกาย ทำให้ระบบการทำงานของสมองดีขึ้น ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น  และยังไม่ทำให้เกิดโรคอัลซัลเมอร์ในอนาคตได้อีกด้วย   ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง เพราะน้ำมันมะพร้าวมีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยยับยั้งการแพร่ของเชื้อมะเร็งในระยะแรกได้อีกด้วย

นอกจากนั้น ยังช่วยทำความสะอาดภายในช่องปาก รักษาสิว บำรุงผิวหน้า โดยใช้น้ำมันมะพร้าวผสมกับแตงกว่าแล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที ทำเป็นประจำ ก็จะช่วยให้ผิวหน้าไม่แห้ง บำรุงผิวไปในตัว และช่วยบำรุงหนังศีรษะ เส้นผมไม่ให้แห้งเสียอีกด้วย

ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอก (Olive Oil) เป็นน้ำมันธรรมชาติที่เกิดจากการนำเอาผลมะกอกมาสกัดเอาน้ำมัน สรรพคุณและประโยชน์ของน้ำมันมะกอกมีประโยชน์มาก โดยในปัจจุบันเริ่มเป็นนิยมในการนำมาประกอบอาหารและใช้ในด้านความงามอย่างแพร่หลาย

การบริโภคอาหารที่มีน้ำมันมะกอกร่วมกับการรับประทานอาหารไขมันต่ำ ทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้มากกว่าผู้ที่อดอาหาร เนื่องจากน้ำมันมะกอกมีส่วนช่วยกระตุ้นสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมไขมัน ทำให้ร่างกายไม่อยากรับไขมันเพิ่มและสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่า นอกจากนั้นยังช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  น้ำมันมะกอกสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง จึงส่งผลดีต่อหัวใจของเรา  ดีต่อระบบการหมุนเวียนโลหิตช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis)  น้ำมันมะกอกประกอบไปด้วยสารไลโคปีน (Lycopene) จำนวนมาก ซึ่งมีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและลดสารออกซิเดชัน ทำให้มีสุขภาพผิวที่ดี ผิวหนังอ่อนเยาว์กว่าวัย ริ้วรอยลดเลือน เเละยังอุดมด้วยวิตามิน B และวิตามิน E ที่ช่วยบำรุงหนังศีรษะ เส้นผมให้ชุ่มชื่น แข็งแรง ไม่เปราะหรือขาดง่าย  มีแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง

น้ำมันมะกอกช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆของร่างกายดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ และถุงน้ำดี ช่วยป้องกันการเกิดนิ่ว  ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เนื่องจากกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ  เพราะอุดมไปด้วยสารโอลีโอแคนธัล (Oleocanthal) ที่ช่วยยับยั้งเอมไซม์ที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบ  การรับประทานน้ำมันมะกอกเป็นประจำ ย่อมช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลซัลเมอร์ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยโอลีโอแคนธัล (Oleocanthal) เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มักหลงๆ ลืมๆ ความจำไม่ดี และต้องใช้ความคิดอยู่เสมอค่ะ

ประโยชน์ของน้ำมันอะโวคาโด

จากอาหารที่ชาวคีโตเจนิคไดเอททานนั้น ได้เน้นการทานไขมัน เพื่อเผาพลาญไขมัน ทีนี้เรามาดูกันคะว่า ไขมันจากพืชที่เราต้องทานเข้าไป มีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไรบ้างค่ะ

-ช่วยลดคอเลสเตอรอล น้ำมันอะโวคาโดอุดมด้วยกรดโอเลอิก (Oleic Acid) ที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ดีต่อสุขภาพ  ทำให้สุขภาพหัวใจดีขึ้น และก็ช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL)

-น้ำมันอะโวคาโดอุดมด้วยลูทีน (Lutein) เป็นแคโรทินอยด์ชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประโยชน์ต่อดวงตา จึงช่วยบำรุงดวงตา

-อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง ไขมันที่ละลายในน้ำชนิดนี้ช่วยทำให้ผิวดีขึ้น บำรุงระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย และทำให้การย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น วิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในอะโวคาโดช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

-น้ำมันอะโวคาโดอุดมด้วยคลอโรฟิล (chlorophyll) ที่เป็นแหล่งของแมกนีเซียม และเป็นหนึ่งในสารธรรมชาติที่ช่วยในการขจัดโลหะหนักออกจากร่างกาย (เช่น ตะกั่ว สารปรอท ที่เป็นของเสียจากตับ ไต และอวัยวะอื่นของร่างกาย) โมเลกุลของคลอโรฟิลล์มีอนุภาคของแมกนีเซียมที่จะปล่อยออกมาได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด อย่างเช่นในร่างกายมนุษย์ เมื่อไม่มีแมกนีเซียมที่ถูกปล่อยออกมา คลอโรฟิลล์ก็จะดึงเอาอนุภาคของโลหะเข้าไปแทนที่ และขับออกมาจากร่างกายทางอุจจาระ จับคู่น้ำมันอะโวคาโดกับสลัดหรืออาหารผักอื่น เพื่อเพิ่มพลังของคลอโรฟิลล์ในการขับสารพิษ

-ทาน้ำมันอะโวคาโดลงบนผิว จะช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงกว่าเก่า เนื่องจากวิตามินอี โปตัสเซียม และเลซิธิน ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญในน้ำมัน สามารถดูดซึมผ่านเข้าไปในผิวชั้นนอกเข้าสู่ผิวชั้นใน ช่วยทำให้เซลล์ผิวใหม่เติบโตเร็วขึ้น  ช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้เป็นอย่างดี

-น้ำมันอะโวคาโดที่เอามาทาบนผิวช่วยบรรเทาอาการต่างๆของผิวได้ เช่น อาการคัน ผิวแตก ส้นเท้าแตก ผิวไหม้แดด ผิวหนังอักเสบ และสะเก็ดเงิน ลดอาการอักเสบและคันของผิว เนื่องจากปริมาณของกรดโอเลอิกที่มีคุณสมบัติต้านอักเสบ

-สารอาหารในน้ำมันอะโวคาโด เหมาะอย่างมากสำหรับการบำรุงผม โดยใช้น้ำมันอะโวคาโดหมักผม หรือเอาไปผสมกับน้ำมันหอมระเหยอื่นมีประโยชน์ต่อผมและหนังศีรษะ ก่อนทาลงบนเส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้ผมดูดีและแข็งแรงขึ้น เส้นผมจึงยาวเร็วขึ้นด้วยค่ะ

-น้ำมันอะโวคาโดใช้ปรุงอาหารได้ดี เพราะเป็นน้ำมันที่มีจุดการเกิดควันสูง  ความร้อนจากการปรุงอาหารไม่เพียงแต่จะทำลายสารอาหารในน้ำมัน แต่มันยังทำให้เกิดสารประกอบอันตรายขึ้นมาด้วยนั่นก็คือ สาร AGE(Advance glycation end products) ซึ่งได้รับการยืนยันว่าทำให้ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง มีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดการอักเสบ และทำให้ผิวแก่ลง น้ำมันอะโวคาโดบริสุทธิ์ เป็นน้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูงกว่าน้ำมันอื่น เหตุผลที่น้ำมันอะโวคาโดทนความร้อนได้สูง เพราะมีไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (polyunsaturated fat) ในปริมาณต่ำ เนื่องจากไขมันนี้ไม่ค่อยเสถียรและทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้ง่าย (Oxidation)

-อะโวคาโดมีโปรตีนสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่น เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

 

กินไขมัน เพื่อลดไขมัน กับ คีโตเจนิคไดเอท (Ketogenic Diet)

การกินแบบคีโตเจนิคไดเอท คือ กินแป้งน้อย ไขมันเยอะ โดยกินคาร์โบไฮเดรต 5% โปรตีน 20% และไขมัน 75%     หลังจากที่เราเริ่มกินแบบคีโตเจนิคไดเอท ไปได้ 1-2 สัปดาห์ ระดับกลูโคสและอินซูลินในร่างกายจะลดลง ทำให้ร่างกายเกิดอาการ “กลัวตาย” และเมื่อไม่มีกลูโคส ร่างกายจึงสร้างคีโตน (Ketone) ในตับ และดึงไขมันมาใช้ในการสร้างพลังงาน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมยิ่งกินไขมันถึงยิ่งเผาผลาญไขมันนั่นเองค่ะ

สูตรคีโตเจนิค ไดเอต ทานอะไรบ้าง เรามาดูกัน
– เนื้อสัตว์ ทุกชนิด ติดมันได้, เครื่องใน, ไข่, อาหารทะเล, เบคอน
– ผลไม้  อะโวคาโด (ไขมันสูง แม้มีคาร์บแต่ส่วนใหญ่คือไฟเบอร์), เนื้อมะพร้าว, มะนาว, เลมอน, มะกอก, เบอรี่ทั้งหลาย (จำกัดปริมาณ)
– ผักใบเขียว สามารถรับประทานผักใบเขียวได้ทุกชนิด (แต่ควรหลีกเลี่ยงพืชหัวที่มีสัดส่วนคาร์โบไฮเดรตเยอะ เช่น เผือก มัน เป็นต้น)
– นม ต้องเป็นนมพร่องมันเนยที่มีไขมันต่ำ หรือผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ครีม ครีมชีส ชีส (มาการีนไม่สามารถรับประทานได้)
– พืชตระกูลถั่ว ควรรับประทานเฉพาะถั่วเมล็ดเดี่ยว เช่น วอลนัท แมคคาเดเมีย อัลมอนด์
– เครื่องดื่ม: นมอัลมอนด์, ชา, กาแฟ (ใส่ครีมแทนนม), น้ำโซดา, น้ำมะนาวและน้ำเปล่าดีที่สุด
– ไขมันจากสัตว์ เช่น เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์แปรรูปที่ไม่ผสมแป้ง ไข่ อาหารทะเล
– ไขมันจากพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโด เเละน้ำมันเจีย

ทั้งข้อดีและข้อเสียของการลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิค ไดเอต
ข้อดี คือ ทำให้น้ำหนักและไขมันส่วนเกินลดลง เพราะไขมันที่สะสมไว้ถูกนำไปเผาผลาญ ขณะเดียวกันร่างกายก็รับพลังงานเข้ามาน้อยลงด้วย สามารถรักษาระดับมวลกล้ามเนื้อไว้ได้ หรือสูญเสียมวลกล้ามเนื้อในระดับที่น้อย
ข้อเสีย คือการรับประทานแบบคีโตไดเอทอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุล เนื่องจากในระยะแรกระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายอาจผิดปกติเพราะร่างกายได้รับกากใยอาหารน้อยเกินไป และในระยะยาวอาจเป็นโรคขาดสารอาหารได้ รวมถึงอาจทำให้อวัยวะภายในทำงานผิดปกติ เนื่องจากได้รับสารอาหารไม่ครบหมู่ตามหลักโภชนาการ

คีโตไดเอท (Ketogenic Diet) จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ  และไม่ต้องทำงานที่ใช้พลังงานมาก เนื่องจากในระยะแรกอาจทำให้เกิดการอ่อนเพลีย รวมถึงเกิดภาวะบางอย่างขึ้นจากการปรับตัวของร่างกายค่ะ

 

คุณประโยชน์คับแก้วจากอาซาอิเบอร์รี่และเมล็ดเจีย

การดื่มกาแฟยังช่วยทำให้อารมณ์ของเราแจ่มใส คลายความตึงเครียด
ดื่มด่ำความกลมกล่อมของกาแฟชั้นดี พร้อมคุณประโยชน์คับแก้ว จากอาซาอิเบอร์รี่และเมล็ดเจีย
Swizer Coffee Mix Plus Acai Chia

#SWIZER
#chia  #coffee #acaiberry #acai #เมล็ดเจีย